สำนวน 9 พันแผ่น ทนายตั้มโกงเจ๊อ้อย ส่งอัยการฟ้อง

“กองปราบปราม” สั่งฟ้อง “ทนายตั้ม” กับพวกรวม 7 คน ข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน หอบสำนวนกว่า 9 พันแผ่นให้อัยการคดีพิเศษพิจารณาสั่งคดีแล้ว แบ่งเป็นความผิดรวม 4 คดี เป็นคดีนอกราชอาณาจักร 3 คดี ประกอบด้วยคดีหลอกลงทุนขายสลากทางออนไลน์กว่า 71 ล้านบาท คดีฟันส่วนต่างซื้อรถเบนซ์จีคลาสกว่า 1.5 ล้านบาท และคดีหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลของลูกน้องถูกระงับ ให้เจ๊อ้อยจ่ายเงินค่าเสียหาย 39 ล้านบาท ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ส่วนคดีในราชอาณาจักรเป็นกรณีกินส่วนต่างค่าออกแบบโรงแรมกว่า 5 ล้านบาท อัยการรับลูกตั้งคณะทำงานพิจารณาทันที ให้แล้วเสร็จก่อนฝากขังผัดสุดท้ายวันที่ 30 ม.ค.นี้

กรณี น.ส.จตุพร หรือ เจ๊อ้อย อุบลเลิศ เศรษฐินีชาวไทยอาศัยอยู่ประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส มอบอำนาจทนายความแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ดำเนินคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม อายุ 44 ปี ข้อหาฉ้อโกง หลอกให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์มหวยออนไลน์เป็นเงิน 71 ล้านบาท หลังรวบรวมหลักฐานออกหมายจับทนายตั้ม นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยา และผู้เกี่ยวข้องอีกหลายคน ข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน นำฝากขังเข้าเรือนจำไปแล้วตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าจากสำนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ม.ค. พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ นามพุทธา ผกก. (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมคณะพนักงานสอบสวน บก.ป. นำสำนวนการสอบสวนคดี น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย ผู้เสียหายกล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม กับพวกรวม 7 คน คดีร่วมกันฉ้อโกงและฟอกเงิน สำนวนรวม 9,317 แผ่น พร้อมความเห็นทางสมควรสั่งฟ้องนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม อายุ 44 ปี นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยา น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ พี่สาวภรรยา นายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือ นุ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนนายนุ และพนักงานโชว์รูมรถ 2 คนที่ร่วมมือกับทนายตั้มปลอมแปลงเอกสารรวมผู้ต้องหา 7 คน คดีฉ้อโกง ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันไปมอบให้นายณัฐพงษ์ พุฒแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ เป็นผู้รับสำนวนการสอบสวนไว้พิจารณา

พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ นามพุทธา กล่าวว่า สำนวนคดีทนายตั้มแบ่งเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักรและกระทำผิดนอกราชอาณาจักร การกระทำผิดนอกราชอาณาจักรมี 3 เรื่องคือ ฉ้อโกงเกี่ยวกับแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ความเสียหาย 71 ล้านบาทเศษ คดีกระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับความเสียหาย 39 ล้านบาทเศษ และสำนวนคดีซื้อรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ จี 400 เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง 1,530,000 บาท ส่วนการกระทำผิดในราชอาณาจักรมีคดีการออกแบบโรงแรมได้ส่วนต่าง 5,500,000 บาท สำหรับการส่งสำนวน 4 เรื่อง มีผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คน ร่วมกับทนายตั้มฉ้อโกง ฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน

“วันนี้มีผู้ต้องหาที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสารที่จะต้องเข้ามาพบพนักงานอัยการ โดยมีการแจ้งความเพิ่มมา 2 คน เป็นการปลอมเอกสารเกี่ยวกับการซื้อรถเบนซ์ ผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิดในส่วนการปลอมใบเสร็จการซื้อรถเบนซ์ แต่รายละเอียดในสำนวนไม่ขอเปิดเผย ส่วน น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม ที่ได้รับการประกันตัวอยู่ในอำนาจการควบคุมของศาล จึงไม่จำเป็นต้องนำตัวมา ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนได้สอบสวนตามที่ทนายตั้มร้องขอให้สอบสวนในพยานหลักฐานเพิ่มเติม ถือว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ตัวผู้ต้องหาแล้ว” พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าว

ด้านนายณัฐพงษ์ พุฒแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ กล่าวว่า หลังจากรับมอบสำนวนแล้ว พนักงานอัยการจะส่งมอบให้สำนักงานอัยการคดีพิเศษไปพิจารณาเพื่อตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาให้เสร็จภายในระยะเวลาฝากขังผัดสุดท้ายวันที่ 30 ม.ค.นี้ สำหรับคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร เมื่อผลการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้วจะต้องส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาอีกครั้งตามขั้นตอนของกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ประกอบด้วยกรณีทนายตั้มหลอกลวงเจ๊อ้อยผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2 ล้านยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 71,067,764.70 บาท คดีต่อมาเจ๊อ้อยมอบหมายให้ทนายตั้มจัดซื้อรถยนต์เมอร์ เซเดสเบนซ์ รุ่นจี 400 ทนายตั้มหลอกลวงผู้เสียหายว่าหาซื้อได้ในราคา 12,900,000 บาท มีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถคันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาทโดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ทนายตั้มได้เงินส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท

คดีต่อมานายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงเจ๊อ้อยด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่านายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ ผู้เสียหายจึงให้นายนุวัฒน์โอนเงินดิจิทัลสกุลบิทคอยน์ให้ผู้ใช้อินสตาแกรมชื่อบัญชี เฉินคุน จากนั้นหลอกลวงผู้เสียหายว่านายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี โอนเงินไปยังบุคคลดังกล่าวแล้ว ทำให้กระเป๋าเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี ถูกระงับการใช้งาน ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 39 ล้านบาท พร้อมส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันแจ้งความกรณีถูกอายัดเงินดังกล่าวไปให้ผู้เสียหายดูทางแอปพลิเคชันไลน์ด้วย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี ถูกระงับจริง ทั้งที่ความจริงแล้วกระเป๋าเงินสกุลดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีไม่ได้ถูกระงับการใช้งาน ผู้เสียหายจึงส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาโลตัสปากช่อง สั่งจ่ายเงิน 39 ล้านบาท ให้ น.ส.สารินี แล้วนายนุวัฒน์ กับ น.ส.สารินี ร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันถอนเงินสด 39 ล้านบาท ออกมา

และคดีสุดท้ายเป็นคดีในราชอาณาจักร กรณีทนายตั้มหลอกลวงเจ๊อ้อยว่า ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม the angel ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรม 9 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้วทนายตั้มไปว่า จ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้ผู้เสียหายราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าว 9,000,000 บาทเข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง จากนั้นถอนเงินไปมอบให้แก่ทนายตั้ม ทำให้ทนายตั้มได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงิน 5,500,000 บาท